วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อวัยวะ ที่ใช้ในการสัมผัสของคนเรามีหลายชนิด “ตา” ก็เป็นอวัยวะที่ใช้ในการสัมผัสรับรู้ด้วยการมองเห็นเท่านั้น แต่เราจะมีระบบที่ใช้ในการประมวลผลหลัก คือ “สมอง” ที่จะเป็นตัวบอกว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไร ตาและสมองจะทำงานสัมพันธ์กันเสมอ แต่จะมีบ้างที่เกิดอาการสับสน ทำให้สิ่งที่เห็นผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งบางครั้งปรากฏการณ์ที่ว่านี้ อาจไม่ได้ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายโดยตรง แต่เป็นเรื่องจริงของความรู้สึกและประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน

นี่มันเส้นตรงขนานกันแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงเอียงได้ ?!?!


อ่านออกไหมว่าอะไร...ใบ้ให้ ถ้าอ่านไม่ออก ให้ค่อยๆ ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วก็จะอ่านออกเอง...เออ ทำไมนะ ??




....เฉลย....

กรณีภาพ “เส้นตรงที่ไม่ขนานกัน” ที่เห็นนั้น ถ้ากลับภาพให้เป็นปกติจะเป็นตารางคล้ายตารางหมากรุก ซึ่งเส้นตรงทุกเส้นจะขนานกัน แต่เมื่อเราขยับแถวให้เลื่อนกันในลักษณะแถวเว้นแถว จะเกิดเป็นภาพดังกล่าวขึ้น เมื่อคนเรามองภาพนั้นแล้ว เห็นรูปสี่เหลี่ยมสีดำมีการเหลื่อมกัน จากประสบการณ์เดิมจะมีความรู้สึกที่สมองรับสัญญาณจากการมองเห็น ว่าเส้นตรงนั้จะต้องมีการบิดเบี้ยวไปด้วย ทำให้เห็นเส้นตรงที่ไม่ขนานกัน เกิดเป็นภาพลวงตาขึ้น แต่ที่จริงแล้วเมื่อดูในแนวราบทิศทางเดียว เส้นตรงที่ลากออกไปจะเป็นความจริงว่าเส้นตรงนั้นขนานกัน

ส่วนภาพ “วิทยาศาสตร์มีคำตอบ” เป็นอีกลักษณะหนึ่ง ที่มีการใช้สายตาทำงานร่วมกับความรู้สึกและประสบการณ์ การใช้สายตาดังกล่าวนี้ เป็นการ ทำงานที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างจุดโฟกัสของภาพกับระยะทาง และมุมของการมอง รวมไปถึงประสบการณ์ของการมองภาพในลักษณะ 3 มิติ ของแต่ละคนด้วย

บางคนต้องใช้เวลานานถึงจะมองเห็น หรืออาจจะต้องบอกวิธีการอยู่บ้าง แต่บางคนอาจจะมองไม่ออกเลย โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ เพราะประสบการณ์เกี่ยวกับภาพในลักษณะนี้ยังน้อยอยู่ จึงทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาได้อีกเช่นกัน


ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


weekly-romance
horoscope-compatibility-test
compatibility-of-signs
tomorrow-aries
horoscope-sign-chart
free-weekly
free-yearly
compatible-signs
susan-miller-monthly
today-gemini-love

ไขความลับ “ยิ้มโมนาลิซา” ของ “ดาวินชี”

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
"โมนาลิซา" มองมุมไหนก็ยิ้มได้แปลกๆ ทั้งเปี่ยมสุขและลึกลับ
นิวส์ไซแอนติส – กว่าหลายศตวรรษมาแล้วที่เหล่า ศิลปิน นักประวัติศาสตร์ และนักท่องเที่ยวต่างเดินพาเหรดไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อหวังไขปริศนารอยยิ้มอันลึกลับน่าฉงนของ “โมนา ลิซา” ผลงานชิ้นโบว์แดงของ “ลิโอนาโด ดาวินชี” และตอนนี้ 2 นักวิจัยทางด้านจักษุศาสตร์ก็เริ่มมองเห็นปริศนาบางอย่างจากภาพโมนาลิซา ว่าไฉนมองมุมไหนถึงยิ้มพิมพ์ใจไปเสียหมด

คริสโตเฟอร์ เทย์เลอร์ และลีโอนอยด์ คอนต์เซวิช แห่งสถาบันวิจัยทางจักษุสมิธ-แคตเทิลเวลล์ ในซานฟรานซิสโก เชื่อว่า เหตุ ที่โมนาลิซายิ้มโปรยปรายได้ขนาดนี้ก็เพราะ “นอยซ์” (noise) หรือมีสัญญาณรบกวนเกิดขึ้นในระบบการรับรู้ทางสายตาของผู้ที่มองภาพอันลือโลก ชิ้นนี้

นักวิจัยทั้ง 2 ได้นำภาพวาดโมนาลิซาบันทึกลงคอมพิวเตอร์ แล้วสุ่มใส่นอยซ์ลงในภาพหลายๆ แบบ (นอยซ์ หรือ noise ที่หมายถึงสัญญาณรบกวน แต่ในภาพคือจุดสีเล็กที่เกิดขึ้นบนภาพ ทำให้ภาพไม่ชัด อย่างเช่นการดูโทรทัศน์ที่สัญญาณไม่ดีก็จะทำให้เห็นภาพเป็นจุดๆ นั่นคือ “นอยซ์”)

และเมื่อนักวิจัยทั้ง 2 สุ่มใส่นอยซ์ลงในภาพโมนาลิซาแล้ว ก็ให้ผู้สังเกตการณ์จำนวน 12 คนมาดูว่าหน้าตาโมนาจะเปลี๊ยนไป๋มากน้อยแค่ไหน

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เมื่อเติม "นอยซ์" ลงไปบนภาพโมนาลิซา จุดสีรบกวนเหล่านี้จึงทำให้คนดูรับความรู้สึกของโม้นาแตกต่างกันออกไป
ทั้งนี้ ผลการพินิจดูภาพโมนาที่มีนอยซ์มาฉาบไว้นั้น ก็เป็นไปตามความคาดหมายของคริสโตเฟอร์และลีโอนอยด์ กล่าวคือ นอยซ์ ส่วนที่อยู่ตรงมุมปากทำปากของโมนายกขึ้น จึงทำให้โมนาลิซามีใบหน้าเปื้อนยิ้มอิ่มเอมมีความสุข ส่วนนอยซ์อีกภาพหนึ่งที่อยู่บนปากของโมนากลับทำให้รูปปากแบนลง ภาพนี้เลยทำให้โมนาดูเศร้าสร้อย

อย่างไรก็ตาม จุดรบกวนหรือนอยซ์เหล่านี้ทำให้ผู้สังเกตการณ์ที่มาดูภาพโมนาลิซาที่เคยๆ เห็น เกิดการรับรู้ที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้อย่างน่าประหลาดใจ

เทย์เลอร์ เปิดเผยว่า ระบบ การรับภาพในสมองของมนุษย์ทั่วไปนั้นจะเปลี่ยนไปตามสิ่งรบกวน และอย่างกรณีภาพโมนาลิซาฉาบนอยซ์คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อผู้มองมองเห็นภาพที่มีเม็ดสีเล็กๆ ไม่ชัดอยู่บนภาพ อนุภาคโฟตอนหรือหน่วยพลังงานของรังสีแสงที่จอตา (เรตินา) รับเข้ามาก็จะเป็นลักษณะแกว่งไปมา (นึกถึงตอนที่เรามองภาพเบลอๆ) จากนั้นเซลล์รับแสงที่จอตาก็จะอ่านค่าเม็ดสีที่มองเห็นผิดเพี้ยน และในที่สุดการรับรู้เม็ดสีที่ผิดเพี้ยนนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังเส้นประสาท และสมองในที่สุด

“สิ่งรบกวนโดยธรรมชาติเหล่านี้ ทำให้คนทั่วไปมองภาพโมนาแล้วเห็นว่าภาพชิ้นนี้เปลี่ยนไป มากกว่าที่จะเห็นเหมือนแต่ก่อนว่าโมนามีการแสดงสีหน้าที่น่าสงสัยลึกลับ “นอยซ์” นี่ล่ะจึงทำให้ภาพวาดชิ้นนี้มีพลังจนถึงทุกวันนี้” เทย์เลอร์ เผย พร้อมกับแถมอีกว่า ที่ ดาวินชีวาดโม้นาได้ออกมาจนลือลั่นโลกขนาดนี้ เพราะดาวินชีรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณศิลปินของเขาแล้วว่า “นอยซ์” นี่ล่ะสามารถสร้างการรับรู้ของคนได้ต่างออกไป

ภาพ “โมนาลิซา” เป็นผลงานชิ้นเอกของลีโอนาโด ดาวินชี จิตรกรชาวอิตาเลียน (และยังเป็นนักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์) ดาวินชีวาดภาพชิ้นนี้ขึ้นในปี 1479 – 1528 โดยหญิงสาวในภาพคือ “ลา จิโอกอนดา ” (La Gioconda) ภรรยาของฟรานเซสโก เดล จิโอกอนดา เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนไม้ มีขนาด 77x53 เซนติเมตร ขณะนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ประเทศฝรั่งเศส ในนาม “ลา โฌกงด์” (La Joconde)

โมนาลิซาในภาพเป็นภาพนั่งของผู้หญิงธรรมดาๆ ที่แต่งกายตามสมัยนิยมในแฟชั่นแบบฟลอเรนไทน์ ในอิตาลีเบื้อหลังเป็นภูเขา โดยดาวินชีได้ใช้เทคนิกภาพสีหม่น (sfumato) ให้ฉากหลังดูนุ่มเบา แต่ใช้โทนสีหนักกับตัวนางแบบ โมนาลิซามีสีหน้าที่แสดงออกมาอย่างน่าฉงน เพราะบางมุมก็รู้สึกถึงความมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ขณะที่บางมุมก็ให้ความรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยว ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นภาพเหมือนที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก


ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


chinese-compatibility-test
chinese-love-match
daily-chinese-monkey
read
today-sagittarius-love
today-leo-love
msn-free-daily
today-aries-love
free-monthly
chinese-signs

นักวิทย์รัสเซียเจอซากสมบัติมนุษย์ต่างดาว

"มนุษย์นอกโลก" สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ในโลกพยายามค้นหาว่ามีจริงหรือไม่
เอเอฟพี - นัก วิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียอ้างว่าได้ค้นพบซากอุปกรณ์บางอย่างของมนุษย์ต่างดาว ในบริเวณที่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ ในไซบีเรีย เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา

สำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำงานให้กับโครงการศึกษาปรากฏการณ์อวกาศตุนกัสกา เปิดเผยว่า ได้พบซากสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่เชื่อว่ามาจากนอกโลก และยังพบก้อนหินประหลาดหนัก 50 กิโลกรัม ในบริเวณที่เกิดการระเบิด โดยได้ส่งต้วอย่างเหล่านี้วิเคราะห์ในห้องทดลองที่เมืองคราสโนยาร์สก์ ไซบีเรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ เหตุระเบิดดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ 30 มิ.ย. 1908 บริเวณท้องฟ้าเหนือแม่น้ำตุนกัสกา แคว้นไซบีเรีย โดยไม่มีผู้ทราบสาเหตุของการระเบิดครั้งนั้น แต่นับว่าเป็นเรื่องลี้ลับทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่สุดในรอบศตวรรษที่ 20 ซึ่งแรงระเบิดพุ่งไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร และทำให้ผืนป่าไซบีเรียถูกทำลายไปกว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นการระเบิดของอุกกาบาต แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้




ขอบคุณแหล่งที่มา www.manager.co.th


monthly
horoscope-today
chinese-sign
today-sagittarius-love
chinese-love-compatibility
read-my-for-free
today-leo-love
read-my-daily
free-daily-chinese
free-online

6 สุดยอด "สมการที่น่านับถือ" ทางฟิสิกส์

6 สมการยอดฮิตที่ได้รับการโหวตจากผู้อ่านวารสาร “โลกฟิสิกส์” ไม่ว่าจะเป็น "ทฤษฎีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของแม็กแวลล์" กฎของออยเลอร์ กฎของนิวตัน และทฤษฎีสุดคลาสสิกตลอดกาลอย่าง " E=mc2" ของไอนสไตน์ ล้วนกลายเป็น "สมการที่น่านับถือ" หรือเป็นสมการอันแสนประทับใจตลอดกาล

ดร.มาร์ติน ดัวรานี (Dr.Matin Durrani) ผู้ช่วยบรรณาธิการของ “โลกฟิสิกส์” (Physics World) วารสารในเครือบีบีซีได้เปิดให้ผู้อ่านนิตยสารได้ลงคะแนนเลือก "สมการ" ของเหล่านักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นขึ้นมาว่า ของผู้ใดเป็น "สมการที่น่านับถือที่สุด" (Equation Idol) พร้อมทั้งจัดทำอีเดียตไกด์ (idiot's guide) สำหรับสุดยอดสมการที่ได้รับการนับถือตลอดกาล เพื่อค้นหา ความหมายที่แท้จริงและประโยชน์สมการเหล่านี้...

สมการที่ 1 ทฤษฎีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์
(CLERK MAXWELL'S ELECTROMAGNETISM THEORY)

∇.D=p ...... A
∇.B=0 ...... B
∇x E=-∂B/∂t ...... C
∇x H= ∂D/∂t +j ...... D

(A - ดิฟหรือไดเวอร์เจนต์ดี เท่ากับ โร)
(B - ดิฟหรือไดเวอร์เจนต์บี เท่ากับ ศูนย์)
(C - เคิร์ลอี เท่ากับ ลบ ดิฟ B บาย ดิฟ t)
(D - เคิร์ล H เท่ากับ ดิฟ D บาย ดิฟ t บวก j)

(ผลการดำเนินการไดเวอร์เจนต์ในสมการ A และ B จะได้จำนวนสเกลาร์ ส่วนการดำเนินการเคิร์ลใน C และ D จะได้ปริมาณเวกเตอร์ สำหรับผู้สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมในสมการนี้หาอ่านได้จากตำราฟิสิกส์เกี่ยว กับแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Mathematics for Physics เพื่อศึกษาคณิตศาสตร์ชั้นสูงที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ - ผู้จัดการวิทยาศาสตร์)

เมื่อ D (ดี) คือสนามที่เคลื่อนที่, E (อี) คือสนามไฟฟ้า, B (บี) คือความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็ก, H (เอช) คือความแรงสนามแม่เหล็ก, p (โร) คือความหนาแน่นของประจุอิสระ และ j คือความหนาแน่นของกระแสอิสระ สมการนี้สร้างขึ้นโดยนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวสก๊อต เจมส์ เคิร์ก แมกซ์เวลล์ ในปี 1873 สมการนี้อธิบายว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างแสง รังสีเอกซ์ หรือไมโครเวฟ มีผลอย่างไรเมื่อเวลาและตำแหน่งในสเปซเปลี่ยนไป

สิ่ง ที่น่าสนใจในสมการนี้คือการแสดงว่าไฟฟ้าและแม่เหล็ก แรง 2 ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านั้นคิดว่าไม่มีความสัมพันธ์กันนั้นจริงๆ แล้วมีความเชื่อมโยงระหว่างกันและกัน เพราะเหตุนี้นักฟิสิกส์จึงได้ดำเนินการรวมแรงแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ากับแรงใน ธรรมชาติอีก 2 แรง คือแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนและแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มที่มีอยู่ในนิวเคลียส ของอะตอม

ผลของทฤษฎีนี้นำไปสู่ความพยายามสร้างแบบจำลองมาตรฐานของอนุภาค ฟิสิกส์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อไปคือการรวมแรงโน้มถ่วงเข้าไปด้วย เป็นการรวมแรงพื้นฐานในธรรมชาติ 4 แรงเข้าด้วยกัน ดังนั้นแมกซ์เวลล์จึงมีความสำคัญในการเป็นนักฟิสิกส์คนแรกที่ตั้งต้นรวมแรง ในธรรมชาติเข้าเป็นหนึ่งเดียว

“แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะ?”
สมการของแมกซ์เวลล์ถูกใช้ผ่านอุตสาหกรรมสื่อสาร ยกตัวอย่างเช่น ใช้ออกแบบเสาอากาศโทรศัพท์เคลื่อนที่ของคุณ


เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ผลพวงจากสมการแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์
สมการที่ 2 สมการออยเลอร์
(EULER'S EQUATION)

ei p + 1 = 0

(อี ยกกำลัง ไอ ไพ บวก หนึ่งเ ท่ากับ ศูนย์)

สมการนี้เป็นสุดยอดในการรวมเข้ากับสมการของแมกซ์เวลล์ และสร้างขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวสวิส ลีโอนาร์ด ออยเลอร์ ในศตวรรษที่ 18 นักฟิสิกส์ชอบสมการนี้เพราะว่าเป็นสมการที่รวมหลักทางคณิตศาสตร์พื้นฐาน 9 อย่าง ในสมการเดียว

คือ p (ไพ) ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณจากเส้นรอบวงที่หารด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางของตัวมันเอง i (ไอ) เป็นรากที่สองของลบหนึ่ง (เป็นจำนวนจินตภาพ) และ e (อี) มีค่า 2.71828 ส่วนพื้นฐานอีก 6 อย่างที่เหลือคือ การคูณ การบวก การเท่ากับ ศูนย์ หนึ่ง และเลขชี้กำลังซึ่งหมายถึงการคูณด้วยตัวมันเองเป็นจำนวนเท่าของเลขชี้กำลัง เช่น 2 ยกกำลัง 2 หมายถึง 2x2 หรือ 2 ยกกำลัง 3 หมายถึง 2x2x2 เป็นต้น

“แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะ?”
ไม่มี สมการออยเลอร์เป็นโครงสร้างของคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ที่ไม่มีแนวทางในการนำไป ปฏิบัติที่แจ่มชัด แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์หลายๆ คนกล่าวเป็น “สิ่งที่สวยงาม” ก็ตาม

กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน บอกได้ว่ารถคุณแรงแค่ไหน
สมการที่ 3 กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน
(NEWTON'S SECOND LAW)

F=ma

(เอฟ เท่ากับ เอ็มเอ)

สมการนี้อธิบายความจริงที่ว่าถ้าคุณให้แรง F (เอฟ) แก่วัตถุซึ่งมีมวล m (เอ็ม) จะทำให้มวลนั้นเกิดความเร่ง a (เอ) สมการนี้ถูกคิดขึ้นโดย ไอแซก นิวตัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และเป็นรูปแบบพื้นฐานของการเคลื่อนที่ตามกฎข้อที่ 2 ของเขาเอง

“แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะ?”
กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน ใช้บอกว่ามินิคูปเปอร์ของคุณเร็วเป็นสายฟ้าแลบแค่ไหน ถ้าคุณเร่งจาก 0 กม /ชม ไปเป็น 60 กม /ชม

สมการที่ 4 ทฤษฎีปีทาโกรัส
(PYTHAGORAS'S THEOREM)

a²+b²=c²

(เอ ยกกำลัง สอง บวก บี ยกกำลัง สอง เท่ากับ ซี ยกกำลัง สอง)

สมการในชั้นเรียนที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทฤษฎีปีทาโกรัสใช้หาความยาวของด้านประกอบสามเหลี่ยม ถ้า a (เอ) และ b (บี) เป็นด้านประกอบมุมฉากของสามเหลี่ยม และ c (ซี) เป็นด้านตรงข้ามมุมฉาก ที่คุณต้องการหาความยาว วิธีการง่ายๆ คือ หาค่ายกกำลังสองของ a และ b แล้วบวกกัน ก่อนจะถอดรากเพื่อที่จะได้ค่า c

“แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะ?”
สมการของปีทาโกรัสใช้ในกระบวนการสำรวจหรือหาระยะทางด้วยรูปสมเหลี่ยม ที่สามารถชี้ตำแหน่งของคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่มีการรับส่งสัญญาณ 3 จุด

ทฤษฎีปีทาโกรัสอาศัยสามเหลี่ยมในการหาระยะทาง ภาพนี้เราสามารถหาความสูงของหอได้จากการประยุกต์ใช้ทฤษฎี
สมการที่ 5 สมการโชรดิงเจอร์
(SCHRÖDINGER'S EQUATION)

HΨ=EΨ

(เอชไซ เท่ากับ อีไซ)

สมการนี้สร้างขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวออสเตรียนชื่อ เออร์วิน โชรดิงเจอร์ ในช่วงกลางทศวรรษ 1920 ซึ่งสมการนี้สามารถอธิบายพฤติกรรมของอนุภาคเล็กๆ อย่างอิเล็กตรอนและเป็นส่วนหนึ่งในรูปแบบของทฤษฎี “กลศาสตร์ควอนตัม”
เราไม่สามารถระบุตำแหน่งหรือเวลาที่แท้จริงของอนุภาคอย่างอิเล็กตรอนได้ ทั้งหมดที่ทำได้คือการระบุความน่าจะเป็นของอิเล็กตรอนที่จะอยู่ในสถานที่แน่นอนและเวลาที่กำหนดแน่นอน สัญลักษณ์ Ψ คือฟังก์ชันคลื่น ที่อธิบายโอกาสของอนุภาคที่จะอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ของสเปซ (ส่วน H (Harmitnian: ฮาร์มิโตเนียน) คือตัวดำเนินการพลังงาน เมื่อดำเนินการกับฟังก์ชันคลื่น Ψ จะได้พลังงาน E และฟังก์ชันคลื่น Ψ ตัวเดิม)

“แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะ?”
มีการประยุกต์ใช้สมการโชรดิงเจอร์ในแวดวงอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ใช้ควอนตัมบีม (Quantum Beam) สร้างระบบเลเซอร์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายให้กับคอมพิวเตอร์ตามบ้าน

คนในประเทศที่ใช้พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ จะคิดบ้างรึเปล่าว่ากำลังรับประโยชน์ของสมการ E=mc^2
สมการที่ 6 สมการของไอนสไตน์
(EINSTEIN'S EQUATION)

E=mc²


(อี เท่ากับ เอ็มซี ยกกำลังสอง)

สมการอันโด่งดังของไอน์สไตน์นี้ แสดงให้เห็นว่ามวลพลังงานไม่ได้แยกจากกัน เพราะจริงๆ แล้วนั้นมีความสัมพันธ์กัน สิ่งที่สมการนี้อธิบายคือ วัตถุซึ่งมวล m (เอ็ม) มีพลังงานเท่ากับ E = mc² เมื่อ c (ซี) คือความเร็วแสงที่มีความเร็วถึง 300 ล้านเมตรต่อวินาที ดังนั้นวัตถุเล็กๆแม้มีมวลน้อย ก็มีพลังงานได้มหาศาลและในขณะเดียวกัน พลังงานก็มีมวลเช่นกัน และเดาได้เลยว่าในปี 2005 คุณจะได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสมการนี้เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของการค้นพบสมการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอน์สไตน์ ทั่วโลกจะถือโอกาสสำคัญนี้เป็นเป็นปีสากลของฟิสิกส์ (International Year of Physics) แม้จะยังไม่ได้รับแน่นอนจากองค์การสหประชาชาติ

“แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะ?”
E=mc² ใช้คำนวณหาพลังงานที่อะตอมในโรงไฟฟ้าปลดปล่อยพลังงานนิวเคลียร์ออกมา

สมการเหล่านี้เกิดจากความพยายามอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ ในรูปของแบบจำลองทางคณิตศาสตร์โดยต้องอาศัยคณิตศาสตร์ชั้นสูงมาช่วยในการ คำนวณ และ ด้วยความที่สมการเหล่านี้จับต้องไม่ได้อาจทำให้คนที่ไม่ได้ศึกษาทางด้านนี้ ไม่เข้าใจว่ามันมีประโยชน์อย่างไร แบบจำลองทางฟิสิกส์นี้เป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์จะสามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นได้ในอนาคตโดยอาศัยพื้นฐานของความจริง ทางทีมงานผู้จัดการวิทยาศาสตร์หวังว่าอย่างน้อยการนำเสนอครั้งนี้คงจะทำให้หลายๆ คน เข้าใจว่าฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์มีประโยชน์อย่างไร

ขอบคุณแหล่งที่มาwww.manager.co.th


weekly
chinese-compatibility
teenage-love
aries
free-love
match-love
gemini
free-daily
leo
horoscope-signs

เลือกเพศลูกอย่างใจ แค่กิ๊กให้ได้ตาม “ปฏิทินปฏิสนธิ”

"หมิน" กำลังโชว์แผนผังวงจรการปฏิสนธิของมนุษย์ โดยแต่ละปีจะมี 3 ช่วงเวลา ช่วงละประมาณ 65-70 วัน โดยสามารถเลือกเพศของตัวอ่อนที่จะปฏิสนธิว่าเป็น "หญิง" (girl) หรือ "ชาย" (boy) หรือมีโอกาสเป็นไปได้ทั้ง 2 เพศ (neutral) ซึ่งการเกิดเพศหญิงคือการจับคู่ของโครโมโซมเอ็กซ์-เอ็กซ์ (xx) และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ไข่ (x) มีประจุบวกก็จะสามารถดึงดูดสเปิร์มโครโซมเอ็กซ์ (x) ซึ่งมีประจุลบเข้ามาปฏิสนธิ ส่วนเพศชายก็เป็นในทางกลับกัน คือการจับคู่ของโครโมโซมต้องเป็นเอ็กซ์วาย (xy) เมื่อถึงช่วงที่ไข่ (x) มีประจุลบก็จะดึงดูดสเปิร์มโครโมโซมวาย (y) ซึ่งมีประจุบวกเข้ามาปฏิสนธิ ส่วนช่วงที่ 3 นั้นไข่เป็นกลาง โอกาสที่สเปิร์มเอ็กซ์ (x) และวาย (y) จะเข้าไปผสมจึงมีได้เท่ากัน
เอเอฟพี – ธุรกิจ ใหม่บนเกาะฮ่องกง เปิดให้คู่สมรสเลือกเพศลูกได้ตามต้องการเพียงแค่มาปรึกษาทำ “ปฏิทินปฏิสนธิ” จับเอาวงจรชีวภาพการตกไข่ของเพศหญิง ซึ่งระบุได้ชัดเจนว่าไข่ช่วงไหนผสมแล้วได้เพศชายหรือเพศหญิง เจ้าแรกในเอเชีย แถมรับประกันไม่เป็นไปตามกำหนดยินดีคืนเงิน

“หมิน หยู” (Min Yoo) นักธุรกิจชาวฮ่องกง เจ้าของคลินิก “ชอกซ์” (CHOIX) ในฮ่องกงประกาศว่า เขา สามารถช่วยให้คู่สามีภรรยาเลือกเพศของลูกได้ตามใจต้องการ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้กระบวนการคัดเลือกทางพันธุกรรมใดๆ เลย ใช้แค่เพียงปฏิทินง่ายๆ

”มันเป็นเวลาที่ดีสำหรับผู้หญิงที่จะตระหนักได้ด้วยตัวเองว่าเวลาไหน จะได้ลูกชายหรือลูกสาว พวกเราใช้วิธีง่ายๆ เหล่านี้” หมิน ผู้บริหาร “ชอกซ์” (CHOIX) ซึ่งผันมาจากคำว่า ชอยส์ (choice) ที่สื่อถือ “การตัดสินใจเลือก” โดยทางคลินิกเปิดเผยว่า เป็นเทคนิกการเลือกเพศของลูกแบบง่ายๆ โดยระบุช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเป็นเพศหญิง หรือเพศชาย

”ระบบชีวภาพของมนุษย์ทำงานเป็นวงจร เทคนิกดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการตกไข่ของเพศหญิงซึ่งจะกลายเป็นเด็ก” คำอธิบายของหมินชายหนุ่มชาวเกาหลีที่เกิดในอเมริกา ซึ่งไม่เคยผ่านวิชาการแพทย์มาเลย แต่ได้ประสบการณ์และความรู้มาจากมารดาของเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสืบ พันธุ์ที่ทำงานอยู่ในลอสแองเจลลิส

เราใช้ข้อมูลจากลูกค้าแต่ละราย แล้วสร้างออกมาเป็น “ปฏิทินปฏิสนธิ” (fertility calendar) ให้ลูกค้าของเราใช้เป็นแผนที่นำทางว่าเวลาไหนจะมีลูกชายหรือสาว” หมินอธิบาย โดยวงจรเหล่านี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลทางสรีระของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งเจ้าหน้าที่คลินิกจะรวบรวมจากแบบสอบถามประวัติทางการแพทย์ พร้อมทั้งพูดคุยปรึกษา และตรวจดูตัวอย่างเลือด (single blood sample)

"หมิน" ผู้ซึ่งไม่เคยผ่านการศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์มาก่อน กับวงจรการตกไข่ของเพศหญิง ที่ซื้อลิขสิทธิ์นี้มาจากห้องปฏิบัติการเอกชนแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ โดยเป็นเจ้าเดียวในเอเชียที่ทำธุรกิจ "ปฏิทินปฏิสนธิ" เพื่อคู่สมรสจะกำหนดเพศลูกได้ตามต้องการ
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ว่าเราก็จะจัดตารางเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเลือกเพศของลูกให้แต่ละคู่ได้” หมินกล่าวเพิ่มเติม โดยเขาได้ตั้งบริษัทดำเนินการสร้าง “ปฏิทินสืบพันธุ์” ร่วมกับหุ้นส่วนอีก 3 คน และพวก เขาเป็นบริษัทในเอเชียเพียงแห่งเดียวที่ได้ลิขสิทธิ์ของเทคนิกการจัดตาราง ชีวภาพของมนุษย์ชิ้นนี้จากการคิดค้นของห้องปฏิบัติการเอกชนแห่งหนึ่งใน สวิตเซอร์แลนด์ โดยห้องปฏิบัติการที่หมินไม่ยอมเอ่ยชื่อนี้กำลังขอสิทธิบัตร ตีตราความเป็นของความคิดดังกล่าวนี้

อย่างไรก็ดี “ชอยกซ์” ได้ให้บริการเลือกเพศแบบเป็นแพ็กเกจ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ตั้งปฏิทิน รวมถึงการทำคลอดและการดูแลของแพทย์ ค่าบริการทั้งหมดอยู่ที่ 50,000 เหรียญฮ่องกง (6,410 เหรียญสหรัฐฯ) หรือประมาณ 267,000 บาท และตั้งแต่คลินิกแห่งนี้เปิดบริการเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา มีลูกค้ามาใช้บริการเพียงแค่รายเดียว แต่หมินก็เชื่อว่าในอนาคตจะต้องมีสามีภรรยาอีกหลายคู่ที่ยอมจ่ายเพื่อแลกกับการได้เพศลูกตามต้องการ

”ในฮ่องกงมีแรงกดดันเรื่องขนาดของครอบครัว โดยครบอครัวขนาดเล็กมีความเหมาะสมกับที่พักอาศัยบนเกาะแห่งนี้ และที่สำคัญชาวฮ่องกงส่วนมากก็ต้องการมีลูกแค่ 2 คน โดยต้องแน่ใจว่าคนที่ 2 จะมีเพศที่ต่างจากลูกคนแรก” หมินสาธยายถึงช่องทางความก้าวหน้าของธุรกิจเขา พร้อมกับย้ำว่าวิธีนี้จะทำให้หลายครอบครัวลดความเสี่ยงที่จะมีลูกคนที่สาม สี่ ห้า ถ้าหากว่าคนถัดๆ มาก็ยังเป็นเพศเดียวกับคนแรกๆ

ขณะที่คลินิก “ชอกซ์” ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้นำการผดุงครรภ์ท้องถิ่นและโรงพยาบาลเอกชน แต่ทว่าบรรดาแพทย์ทั้งหลายต่างตั้งคำถามถึงความถูกต้องของเทคนิกวิธีดังกล่าวนี้ โดย ผศ.ดร.เออร์เนสต์ อู๋ (Dr. Ernest Ng) จากแผนกสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา โรงพยาบาลควีน แมรี (Queen Mary Hospital) มหาวิทยาลัยฮ่องกง (Hong Kong University) ชี้ว่าวิธีการเหล่านี้ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์รับรองว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน


โลโกบริษัท "ชอกซ์" (Choix) ที่เจ้าของบริษัทตั้งขึ้นเพื่อเลียนเสียงจากคำว่า "ชอยส์" (choice) ซึ่งสื่อว่า "ใคร ๆ ก็เลือกและตัดสินใจเองได้"
”คุณไม่สามารถเลือกเพศของเด็กจากวงจรการตกไข่ของว่าที่คุณแม่เพียง ลำพัง เพราะเชื้ออสุจิก็มีส่วนสำคัญในการกำหนด ทำให้ไม่สามารถคาดเดาเพศได้อย่างแท้จริง” ดร.อู๋แย้งวิธีการของชอกซ์ แต่เหตุผลของหมินก็ฟังขึ้นเช่นกัน

”ประเด็นก็คือ นี่ไม่ใช่กระบวนการทางการแพทย์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสอบถามกับแพทย์ เพราะว่าไม่มีกระบวนการแพทย์มาเกี่ยวข้อง” หมินแย้งแถมย้ำอีกว่า นี่เป็นช่วงเวลาแห่งธรรมชาติ และก็เกี่ยวเนื่องกับการวิธีการนับระยะปลอดภัยเพื่อเลี่ยงการตั้งครรภ์

อย่างไรก็ดี หมินมีความมั่นใจว่าเท คนิกการเลือกเพศลูกผ่าน “ปฏิทินปฏิสนธิ” นั้น จะเจาะกลุ่มชนชั้นกลางในเอเชียได้ เพราะว่าไม่เสี่ยงและล่อแหลมทั้งทางการแพทย์หรือศาสนาที่คัดค้านการตัดต่อ และผสมตัวอ่อนของมนุษย์

ที่สำคัญ “ชอกซ์” รับประกันคืนเงินให้แก่ลูกค้าเต็มจำนวน หากปฏิทินดังกล่าวคำณวนเพศของลูกผิดพลาด โดยหมินเจ้าของกิจการย้ำว่า พวกเขาไม่รับประกันว่าคุณจะตั้งครรภ์หรือไม่ แต่ถ้าได้ตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่คู่สมรสเลือก ก็จะได้เพศลูกตามปฏิทินระบุอย่างแน่นอน

ขอบคุณแหล่งที่มา www.manager.co.th

horoscopes
love
chinese
daily
horoscope
free
daily-chinese
chinese-love
horoscopes
compatibility